การออกแบบ ของ แฟร์ไชลด์รีพับลิค เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2

เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2

เอ-10 มีความเหนือการในระดับความสูงต่ำซึ่งต้องขอบคุณปีกที่ตรงและกว้างของมัน สิ่งเหล่านี้ทำให้มันใช้พื้นที่ในการบินขึ้นและลงจอดน้อยเหมาะกับการใช้งานในสนามบินของแนวหน้า เครื่องบินสามารถร่อนได้นานและทำงานในระดับต่ำกว่า 1,000 ฟุตได้โดยมีเพดานบินที่ 2.4 กิโลเมตร โดยทั่วไปมันจะบินเดียวความเร็วต่ำประมาณ 555 ก.ม./ช.ม.ซึ่งทำให้มันเหมาะกับการทำหน้าที่โจมตีภาคพื้นดินมากกว่าเครื่องบินรบทิ้งระเบิดที่รวดเร็วซึ่งมักยากที่จะทำการจับเป้าขนาดเล็กและเป้าหมายที่เคลื่อนที่ช้า

ท่อไอเสียของเครื่องยนต์อยู่บนปีกแนวนอนส่วนหลังและระหว่างปีกคู่ที่ส่วนท้าย มันลดสัญญาณอินฟราเรดของเอ-10 และลดความเป็นไปได้ที่เครื่องบินจะถูกล็อกเป้าโดยขีปนาวุธหาความร้อน การวางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหลังทำให้บางส่วนของปีกป้องกันมันจากการยิงได้ ส่วนลำตัวหลักมีลักษณะคล้ายรังผึ้งเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแต่มีน้ำหนักเบา

เอ-10 มีเครื่องจักรที่ควบคุมอย่างครบถ้วน เพราะว่าปีกเสริมของมันเป็นแบบที่ไม่มีรอยเชื่อมหรือเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด แผงเหล่านี้เป็นวัสดุผสมที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมเครื่องจักรเพื่อลดเวลาและราคาในการผลิต ในการรบได้แสดงให้เห็นว่าแผงแบบนี้ทนทานมากกว่า นอกจากนี้หากได้รับความเสียหายมันยังเปลี่ยนได้ง่ายด้วยวัสดุชั่วคราวหากจำเป็น[13]

ธันเดอร์โบลท์ 2 สามารถเข้าประจำการและปฏิบัติการได้จากฐานที่ขาดการอำนวยความสะดวก จุดเด่นที่ไม่ธรรมดาคือมันมีหลายส่วนของเครื่องบินสามารถสับเปลี่ยนกันได้ระหว่างซ้ายกับขวา ซึ่งรวมทั้งเครื่องยนต์ อุปกรณ์ลงจอด และปีกแนวตั้งที่ด้านหลัง อุปกรณ์ลงจอดที่แข็งแรงและปีกที่กว้างตรงทำให้มันสามารถขึ้นเครื่องได้ในระยะสั้นพร้อมกับอาวุธหนัก นั้นเลยทำให้เครื่องบินสามารถทำงานในสนามบินที่รับความเสียหายได้ เครื่องบินถูกออกแบบให้เติมเชื้อเพลิง เติมกระสุน และเข้าประจำการได้โดยใช้อุปกรณ์น้อยมาก

เนื่องจากว่าล้อลงจอดด้านหน้าที่ใกล้กับปืนใหญ่หลักของเอ-10 ทำให้ล้อยื่นไปทางขวาและปืนยื่นไปทางซ้าย มันทำให้เอ-10 มีรัศมีการเลี้ยวที่ไม่เหมือนใคร การเลี้ยวขวาบนพื้นจะใช้เนื้อที่น้อยกว่าการเลี้ยวซ้าย

ความทนทาน

เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 ลำนี้ได้รับความเสียหายอย่างมากจากการยิงในตอนที่มันอยู่เหนือแบกแดดในปฏิบัติการปลดปล่อยอิรักเมื่อต้นปีพ.ศ. 2546 แต่มันก็ยังสามารถบินกลับฐานได้

เอ-10 มีความคงทนที่ดีเยี่ยม เพราะมันมีโครงสร้างที่แข็งแรงจนสามารถรอดจากกระสุนเจาะเกราะและระเบิดแรงสูงขนาด 23 ม.ม.ที่ยิงเข้ามาตรงๆ ได้ เครื่องบินมีความซับซ้อนถึงสามชั้นในระบบการบินของมัน ด้วยระบบกลไกที่คอยช่วยเหลือระบบไฮดรอลิกทั้งสอง สิ่งนี้ทำให้นักบินทำการบินและลงจอดได้เมื่อระบบหรือกำลังของไฮดรอลิกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของปีกหายไป ในการบินโดยปราศจากกำลังของไฮดรอลิกมักจะใช้ระบบควบคุมด้วยมือ ในโหมดนี้เอ-10 จะสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สภาพที่เหมาะสมเพื่อบินกลับฐานและลงจอดถึงแม้ว่าพลังในการควบคุมจะต้องใช้มากกว่าปกติก็ตาม เครื่องบินถูกออกแบบให้บินได้ด้วยเครื่องยนต์เดียว หางเดียว และปีกที่เหลือครึ่งเดียวได้[14] ถังเชื้อเพลิงที่ผนึกตัวถูกป้องกันโดยโฟมที่ลดการจุดติดไฟ นอกจากนี้ล้อลงจอดหลักยังถูกออกแบบให้ลงจอดได้ถึงแม้ว่ามันจะกางออกมาได้เพียงครึ่งเดียวซึ่งทำให้มันต้องลงจอดด้วยท้องหรือแบบที่ไม่กางล้อนั่นเอง แต่ระบบของมันทำให้การลงจอดแบบดังกล่าวทำความเสียหายต่อส่วนท้องเครื่องบินให้น้อยที่สุด พวกมันยังมีบานพับที่ด้านหลังของเครื่องบินเผื่อหากว่ากำลังของไฮดรอลิกเสียหายนักบินจะได้ปล่อยล้อออกและผสมผสานแรงดึงดูดเข้ากับแรงต้านลมเพื่อเปิดล้อและล็อกมันให้เข้าตำแหน่ง

ห้องนักบินและส่วนของระบบควบคุมการบินถูกป้องกันโดยเกราะไทเทเนียมน้ำหนัก 408 กิโลกรัม มันถูกเรียกว่า"ถังไทเทเนียม[15] ถังแบบนี้ถูกทดสอบให้ทนทานต่อการโจมตีจากปืนใหญ่ขนาด 23 ม.ม.และกระสุนขนาด 57 ม.ม.ได้[15] มันทำมาจากแผ่นไทเทเนียมที่มีความหนาตั้งแต่ครึ่งนิ้วจนถึงหนึ่งนิ้วครึ่ง การป้องกันนี้ต้องแลกด้วยบางอย่าง ตัวเกราะเองนั้นมีน้ำหนักถึง 6% ของเครื่องบินทั้งลำ เพื่อป้องกันนักบินจากสะเก็ดระเบิดจากการปะทะของกระสุนที่กระทบเข้ากับตัวเกราะ นักบินจึงถูกหุมด้วยเกราะเคฟลาร์ กระจกครอบประกอบด้วยอาร์คริลิกแบบกันกระสุนที่สามารถทนทานต่ออาวุธขนาดเบาและป้องกันสะเก็ดระเบิด

การพิสูจน์ล่าสุดถึงความทนทานของเอ-10 นั้นเกิดขึ้นเมื่อร้อยเอกคิม แคมพ์เบลล์แห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ทำการบินสนับสนุนภาคพื้นดินเหนือแบกแดดในช่วงบุกอิรักเมื่อปีพ.ศ. 2546 เครื่องบินของเธอได้รับความเสียหายจากปืนต่อต้านอากาศยาน การยิงของข้าศึกสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์เครื่องหนึ่งและทำให้ระบบไฮดรอลิกหยุดทำงาน บังคับให้ระบบกลไกสำรองทำหน้าที่ควบคุมความเสถียรของเครื่องบินและควบคุมการบิน ถึงกระนั้นแคมพ์เบลล์ก็สามารถบินได้อยู่หนึ่งชั่วโมงและลงจอดอย่างปลอดภัย

ขุมกำลัง

มีเหตุผลมากมายสำหรับตำแหน่งที่ไม่ปกติของเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนรุ่นทีเอฟ34-จีอี-100 ของเอ-10 ในตอนแรกนั้นเอ-10 ถูกคาดว่าจะบินออกจากฐานบินในแนวหน้าซึ่งมักจะเป็นทางวิ่งที่ไม่ได้มาตรฐานซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการที่มีสิ่งของเข้าไปทำลายเครื่องยนต์ ตำแหน่งที่สูงของเครื่องยนต์ลดโอกาสการที่ทรายหรือหินเข้าไปในเครื่องยนต์ มันยังทำให้เครื่องยนต์ทำงานตลอดทำให้ใช้เวลาในการซ่อมแซมหรือเติมกระสุนรวดเร็วขึ้น การบำรุงรักษาและการเติมกระสุนง่ายขึ้นด้วยปีกที่ต่ำซึ่งเป็นเพราะไม่มีเครื่องยนต์อยู่บนปีก ตำแหน่งดังกล่าวยังลดสัญญาณอินฟราเรด เพราะตำแหน่งที่สูงเครื่องยนต์จึงทำมุมได้ 90 องศาสร้างความสมดุลกับศูนย์กลางของอากาศพลศาสตร์ของเครื่องบิน เครื่องยนต์ทั้งสองตัวต้องการการยึดเกาะที่มากดังนั้นพวกมันจึงมีสลักสี่ตัวยึดเอาไว้กับโครงสร้าง[16]

ถังเชื้อเพลิงทั้งสี่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของเครื่องบินเพื่อลดความเป็นไปได้ที่มันจะถูกยิงหรือแยกออกจากเครื่องยนต์ ถังถูกป้องกันโดยเครื่องมือมากมาย ถังแยกออกจากลำตัวเครื่องบิน ดังนั้นกระสุนจะต้องเจาะทะลุผิวก่อนที่จะเข้าถึงถัง ระบบเติมเชื้อเพลิงถูกกำจัดหลังจากไม่มีเชื้อเพลิงส่วนใดที่ไม่ได้รับการปกป้อง ส่วนประกอบของระบบเชื้อเพลิงถังหมดอยู่ในถังดังนั้นหากน้ำมันรั่วมันก็จะไม่ไปไหน หากถังได้รับความเสียหายระบบวาล์วก็จะทำให้มั่นใจว่าเชื้อเพลิงจะไม่ไหลเข้าไปในส่วนบอบบาง ที่สำคัญไปกว่านั้นจะมีตาข่ายโฟมพิเศษอยู่ถังด้านในและด้านนอกของถังเพื่อกันเศษซากหล่นหากได้รับความเสียหาย ส่วนเครื่องยนต์ที่อาจติดไฟได้นั้นถูกป้องกันโดยระบบเชื้อเพลิงและส่วนที่เหลือก็จะติดตั้งด้วยอุปกรณ์ดับไฟและกันไฟ

ระบบอาวุธ

ปืนจีเอยู-8 อเวนเจอร์ของเอ-10

ถึงแม้ว่าเอ-10 จะสามารถบรรทุกอาวุธแบบใช้แล้วทิ้งไป แต่อาวุธหลักของมันก็คือปืนแกทลิ่งจีเอยู-8 อเวนเจอร์ขนาด 30 ม.ม. หนึ่งในปืนใหญ่อากาศยานที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันกระสุนเจาะเกราะแบบไร้ยูเรเนียม ในการออกแบบเบื้องต้นนักบินสามารถสับเปลี่ยนอัตราการยิงระหว่าง 2,100 หรือ 4,200 นัดต่อนาที[17] ซึ่งภายหลังถูกเปลี่ยนเป็นอัตราการยิงตายตัวที่ 3,900 นัดต่อนาที[18] ปืนใหญ่ยังเร็วขึ้นดังนั้น 50 นัดแรกจึงยิงออกไปในวินาที นัดที่ 65 หรือ 70 จะเร็วขึ้นหลังจากนั้น ปืนมีความแม่นยำที่สอดคล้องกัน มันสามารถยิงได้แม่นยำถึง 80% ภายในระยะ 12.4 เมตรขณะบิน[19] จีเอยู-8 ถูกใช้ในแนวเอียงในระยะ 1,220 เมตรโดยทำมุม 90 องศา[20]

อีกมุมมองหนึ่งของจีเอยู-8 ที่ติดตั้งบนเอ-10

ลำตัวของเครื่องบินถูกสร้างขึ้นรอบๆ ปืน[21] ตัวอย่างเช่น ล้อส่วนหน้าที่ยื่นไปทางขวาซึ่งทำให้ลำกล้องของปืนที่ยิงในตำแหน่ง 9 นาฬิกาเป็นแนวเดียวกับตัวเครื่องบิน ทั้งนั่นมันสามารถบรรจุ กระสุนขนาด 30 ม.ม.ได้ 1,175 นัด[20] เอ-10 รุ่นแรกนั้นจะบรรทุกกระสุน 1,350 นัดแต่ถูกแทนที่เนื่องจากแบบขดนั้นเสียหายง่ายในตอนบรรจุกระสุน กระสุนแบบกลมที่มีจำนวน 1,174 นัดจึงถูกนำมาใช้แทน การเสียหายจะเกิดขึ้นโดยบางส่วนของกระสุนที่ยิงก่อนกำหนดเนื่องจากการปะทะของกระสุนระเบิดจะสร้างความหายนะ ด้วยเหตุผลนี้เองความเหมาะสมจึงตกมาที่แพ็กกระสุนแบบกลมแทน มีแผ่นมากมายที่แตกต่างกันในความหนาระหว่างส่วนกลมและผิว แผ่นเหล่านี้ถูกเรียกว่าแผ่นจุดชนวนเพราะว่าเมื่อกระสุนระเบิดเข้าชนเป้าหมายมันก็จะเจาะทะลุเกราะก่อนที่จะจุดชนวนระเบิด ตามที่แบบกลมมีชั้นมากมายการจุดระเบิดของกระสุนจึงถูกจุดชนวนก่อนที่มันจะถึงส่วนกลม ชั้นสุดท้ายของเกราะรอบๆ ส่วนกลมก็คือการป้องกันมันจากสะเก็ดระเบิด

เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 พร้อมอาวุธเต็มอัตราศึก

อาวุธอีกอย่างของมันก็คือขีปนาวุธอากาศสู่พื้นดินแบบเอจีเอ็ม-65 มาเวอร์ริกด้วยแบบที่แตกต่างกันไปทั้งนำวิถีด้วยโทรทัศน์หรืออินฟราเรด มาเวอร์ริกสามารถเข้าปะทะเป้าหมายได้ในระยะที่ไกลกว่าปืนใหญ่ได้มากทำเครื่องบินอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยจากระบบต่อต้านอากาศยานสมัยใหม่ ในพายุทะเลทรายกล้องอินฟราเรดของมาเวอร์ริกถูกใช้ในภารกิจกลางคืน อาวุธอื่นๆ ก็รวมทั้งคลัสเตอร์บอมบ์และจรวดไฮดรา แม้ว่าเอ-10 จะบรรทุกระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ พวกมันก็ใช้งานในแบบที่ไม่ปกติ ในระดับความสูงต่ำและความเร็วปกติของเอ-10 ระเบิดแบบธรรมดาก็มีความแม่นยำเพียงพอแล้ว ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามอาวุธนำวิถีจะเพิ่มข้อได้เปรียบเพียงเล็กน้อย ด้วยการที่บางครั้งก็แทบไม่มีเวลาสำหรับการหาวิถี เอ-10 มักบินพร้อมกับกระเปาะอีซีเอ็มรุ่นเอแอลคิว-131 ที่อยู่ใต้บินข้างใดข้างหนึ่งและขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์สองลูกที่ใต้ปีกอีกข้างหนึ่งสำหรับป้องกันตัวเอง

การพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น

โครงการปรับแต่งของเอ-10 มีมูลค่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเอ-10 จำนวน 356 ลำจะได้รับคอมพิวเตอร์การบินแบบใหม่ ฝาครอบแบบใหม่ จอสีแสดงผลขนาด 5.5 นิ้วแบบใหม่พร้อมแผนที่เคลื่อนที่[22]

ทุนอื่นๆ เข้าการพัฒนากองบินเอ-10 ที่รวมทั้งการเชื่อมข้อมูลแบบใหม่ ความสามารถในการใช้อาวุธอัจฉริยะอย่างเจแดมและความสามารถในการบรรทุกกระเปาะล็อกเป้าอย่างไลท์เทนนิ่งของนอร์ทธรอป กรัมแมนหรือเอทีพีของล็อกฮีด มาร์ติน นอกจากนั้นยังมีระบบสำหรับส่งข้อมูลเซ็นเซอร์ให้กับคนที่อยู่บนพื้นอีกด้วย[12]

การพัฒนาด้านโครงสร้างจะเป็นการเปลี่ยนปีกใหม่ทั้งหมดให้กับเอ-10 จำนวน 242 ลำซึ่งเดิมทีเป็นปีกแบบบาง[12] มีการให้ทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาแรงขับของเครื่องยนต์ให้มากขึ้น

ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.ทางสำนักงานบัญชีของรัฐบาลได้ประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนา บำรุงรักษา และแผนในการยืดอายุการใช้งานของเอ-10 สูงขึ้นถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ [23]

แหล่งที่มา

WikiPedia: แฟร์ไชลด์รีพับลิค เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 http://www.aircraftresourcecenter.com/AWA1/301-400... http://www.airforce-magazine.com/MagazineArchive/P... http://boeing.com/ids/news/2007/q2/070629b_nr.html http://www.defenseindustrydaily.com/2007/06/a-high... http://www.flightglobal.com/articles/2007/08/29/21... http://www.gao.gov/cgi-bin/getrpt?GAO-07-415 http://www.gao.gov/htext/d07415.html http://archive.is/20120720004422/http://www.af.mil... http://www.acc.af.mil/news/story_print.asp?id=1230... http://www.nationalmuseum.af.mil/factsheets/factsh...